วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

รองเท้าก็เหมือนความรักเราต้องเลือกสิ่งที่เข้ากับเราได้ดีที่สุด และถ้าเลือกแล้วก็ต้องดูแลและใส่ใจมันอยู่ตลอดเวลา

เวลาที่เราไปเห็นก็จะนึกสนใจ 
มีคนเสนอขายให้ราคาถูกๆ ก็ไม่เคยคิดจะซื้อ 

แต่พอจำเป็นเข้าจริงๆ ก็ต้องไปซื้อมาแก้ขัดก่อนอยู่ดี 

.............................................................. 

รองเท้าบางคู่ใหม่ๆ อาจรู้สึกสบาย 

แต่ถ้าใส่นานๆ เข้า อาจจะรู้สึกว่ารองเท้า

คู่นี้ไม่เหมาะกับเรา อยากจะถอดทิ้งเสียเหลือเกิน 

...................................................................

รองเท้าบางคู่ลองใส่ที่ร้านแล้วรู้สึกแปลกๆ 

อาจมีบ้างที่คับไป หรือ หลวมไป แต่ใครจะรู้

บางทีพอใส่ไปซักพัก หนังอาจจะขยายพอดีกับเท้าของเรา 

จนรู้สึกว่าดีเหลือเกินที่ตอนนั้นตัดสินใจเลือกคู่นี้ 

................................................................ 

รองเท้าบางคู่ ดูภายนอกอาจตลก 

แต่รู้มั๊ยว่าบางทีเมื่อมันมาอยู่คู่กับเท้าของเรา 

อาจจะทำให้ทั้งเท้าของเราและรองเท้าดูดีผิดหูผิดตาไป 

ส่วนรองเท้าคู่ไหนที่เห็นคนอื่นใส่แล้วดูดี 

ก็ไม่แน่เสมอไปว่าเมื่อเราใส่แล้วจะดีเหมือนกับที่คนอื่นใส่ 

..................................................................... 

ใครที่มีรองเท้ามากเกินความจำเป็น 

เขาเหล่านั้นก็คงจะไม่รู้ว่าคู่ไหนเป็นคู่โปรด 

ตราบเมื่อเค้าได้เสียรองเท้าคู่นั้นไป 

ซึ่งมันก็อาจจะสายไปเสียแล้วที่จะทวงคืน 

........................................................... 

แล้วรองเท้าตามโรงแรมล่ะ 

รองเท้าสาธารณะเหล่านั้นได้ผ่านเท้า

ของผู้คนมามากมาย บางคู่อาจยังใหม่ 

บางคู่อาจดูโทรม บางคู่อาจจะนำพาโรคมาสู่ผู้ที่ใส่

แต่รองเท้าสาธารณะเหล่านี้ มีความเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง 

คือ อยากมากจนเรียกว่าแทบจะไม่มีเลย ที่จะมีคนมาขอซื้อ

เป็นเจ้าของ นอกเสียจากซื้อไว้ดูเล่น 

ซึ่งจะไม่มีทางได้สัมผัสความรักระหว่างเจ้าของกับรองเท้า 

.................................................................. 

รองเท้าที่เหมาะกับเรา หาได้ไม่ยาก และไม่ง่าย 

แต่ถ้าเดินไปแล้วเจอคู่ที่ถูกใจ ควรรีบตัดสินใจซื้อ 

ก่อนที่จะถูกคนอื่นมาตัดหน้าไปก่อน ซึ่งรองเท้าคู่นั้น

อาจจะเป็นคู่เดียวในโลกที่เหมาะกับเรามากที่สุดก็ได้ 

.................................................................... 

ส่วนรองเท้าบางคู่ที่ไม่เหมาะกับเรา 

ใส่แล้วไม่รู้สึกสบาย อย่าพยายามใส่ต่อไปอีกเลย 

มีแต่จะทำให้เราทรมาน และในที่สุดเราก็ต้องโยนมันทิ้งไปอยู่ดี 

................................................................... 

รองเท้าสมัยใหม่ ดูแล้วเท่ แต่รองเท้าสมัยเก่า

ใส่แล้วก็ดูดีไปอีกแบบ จะสมัยไหนก็ช่าง ขอให้ใส่แล้วสบายที่สุด

เมื่อเจอแล้วควรใส่อย่างถะนุถนอมจะได้อยู่กับเราไปนานเท่านาน.... 


รองเท้าก็เหมือนความรักเราต้องเลือกสิ่งที่เข้ากับเราได้ดีที่สุด
และถ้าเลือกแล้วก็ต้องดูแลและใส่ใจมันอยู่ตลอดเวลา

จูบของคุณเป็นแบบไหน


จูบที่ มือ หมายถึง มิตรภาพ
จูบที่ จมูก หมายถึง คุณน่ารัก
จูบที่ แก้ม หมายถึง ฉันต้องการเธอ
จูบที่ คอ หมายถึง เธอต้องเป็นของฉัน (คืนนี้เสร็จแน่)
จูบที่ ริมฝีปาก หมายถึง ฉันรักเธอ
จูบที่ เปลือกตา หมายถึง ฉันกำลังหลงรักเธอ 
เอาแหวนของคุณไปใส่ หมายถึง เธอต้องเป็นของฉันคนเดียว ตลอดไป 
ให้ของขวัญคุณเป็นประจำ หมายถึง เค้าเอาใจใส่ และคิดถึงคุณตลอดเวลา
จับมือ หมายถึง ฉันชอบเธอ
มองเข้าไปในตาของคุณ หมายถึง เธอรักฉันหรือเปล่า
บีบนิ้วของคุณ หมายถึง ฉันอยากจะจูบเธอ
ลูบไล้เบา ๆ ที่หัวไหล่ หมายถึง อยากจะเอาใจเธอ
กัดริมฝีปาก หมายถึง ฉันหึงนะ
ขยิบตาให้ หมายถึง ขอฉันไปกับเธอนะ
เล่นผมของคุณ หมายถึง ฉันชื่นชมเธอ
เหยียบเท้าคุณ หมายถึง ฉันเกลียดเธอ
พูดว่า "คิดถึงคุณ" หมายถึง ฉันใส่ใจเธอเสมอ
พูดว่า "คืนนี้ จะฝันถึงคุณ" หมายถึง คุณเป็นคนพิเศษ
พูดว่า "อยากจะอยู่กับคุณตลอดเวลา" หมายถึง คิดถึงคุณทุกลมหายใจ
แอบหอมคุณ หมายถึง เค้าคนนั้นเป็นคนที่สวีทสุดๆ

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ลูกจ๋า.. อย่าส่งแม่ไปบ้านพักคนชราเลย

ลูกสะใภ้พูดว่า “ทำจืดแม่ก็ว่าไม่มีรสชาติ
ตอนนี้ทำเค็มนิดหนึ่ง แม่ก็ว่ากินไม่ได้ แล้วจะเอายังไง!”
เมื่อแม่เห็นลูกชายกลับมา ไม่กล้าพูดอะไร
ได้แต่กลืนข้าวเข้าปาก ลูกสะใภ้มองตามด้วยความโกรธ
เมื่อลูกชายลองชิมอาหารที่แม่กำลังกิน ก็พูดกับภรรยาว่า
“ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าโรคของแม่กินเค็มมากไม่ได้?”

“เอาละ! ในเมื่อเป็นแม่ของคุณ วันหลังคุณก็ทำเองก็แล้วกัน”
ลูกสะใภ้กล่าวด้วยความโมโห แล้วก็สะบัดหน้าเดินเข้าห้องไป
ลูกชายเรียกตามด้วยความจนใจ จากนั้นก็หันมาพูดกับแม่ว่า
“แม่ครับ ไม่ต้องกินหรอก เดี๋ยวผมต้มบะหมี่ให้แม่กินนะครับ”
“ลูกมีอะไรจะพูดกับแม่ไหม? ถ้ามีก็บอกแม่เถอะ อย่าเก็บไว้เลย”แม่เห็นอาการกังวลของลูกชาย

“แม่ครับ เดือนหน้าผมได้เลื่อนตำแหน่ง เกรงว่าจะต้องมีงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น เมียผมก็อยากออกไปทำงาน คือว่า....”
แม่รู้ทันทีว่าลูกชายจะพูดอะไรต่อ....
“อย่าส่งแม่ไปอยู่บ้านพักคนชรานะลูก....
” แม่พูดออกมาอย่างอ้อนวอน

ลูกชายนิ่งคิดไปนาน แต่ก็พยายามหาทางออกที่ดีกว่านี้
“แม่ครับ อยู่บ้านพักคนชราก็ดีนะแม่จะได้ไม่เหงา ที่นั่นมีคนดูแล ดีกว่าอยู่ที่บ้านนะครับ หากเมียผมไปทำงาน เธอจะไม่มีเวลาดูแลแม่เลยนะครับ”

หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จ ก็ออกมาทานบะหมี่ จากนั้นก็เข้าไปที่ห้องหนังสือ เขายืนนิ่งอยู่ที่หน้าต่าง ในใจเกิดความสับสนขัดแย้ง ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี!

แม่ของเขาเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว กล้ำกลืนทนทุกข์เลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ อีกทั้งส่งเสียให้เรียนยังต่างประเทศ แต่แม่ไม่ได้อ้างสิ่งที่ทำไปเป็นเบี้ยต่อรองให้เขาต้องเลี้ยงดู กลับกันภรรยาผู้มาทีหลังกลับเรียกร้องให้เขาต้องรับผิดชอบ นี่เขาต้องส่งแม่ไปอยู่บ้านพักคนชราจริงหรือ?

“คนที่จะอยู่กับแกในช่วงบั้นปลายชีวิตคือเมียนะโว้ย
ไม่ใช่แม่!” เพื่อนๆมักจะเตือนเขาอย่างนี้
“แม่ของเธอแก่แล้วนะ หากโชคดีก็อยู่กับแกได้อีกหลายปี
ทำไมไม่อาศัยเวลาที่เหลือของแม่แล้วก็กตัญญูปรนนิบัติท่านละ อย่ารอให้แกอยากกตัญญูแต่แม่ไม่อยู่แล้ว
แล้วแกจะเสียใจ!” ญาติๆมักจะเตือนเขาว่าอย่างนี้
เขาไม่กล้าคิดอะไรต่อ กลัวว่าตนเองจะเปลี่ยนแปลงความตั้งใจ
เย็นแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เขานั่งเงียบๆคนเดียวด้วยจิตใจที่หดหู่

ณ บ้านพักคนชราที่แสนจะหรูหรานอกชานเมือง เขาใช้เงินจำนวนมากเพื่อทดแทนความรู้สึกผิดต่อแม่ของเขา
อย่างน้อยที่นี่ก็สะดวกสบาย
เมื่อเขาพยุงแม่เข้าสู่ตัวอาคาร ทีวีจอยักษ์กำลังฉายภาพยนตร์ตลกอยู่ แต่ไม่มีเสียงหัวเราะจากผู้ชมแม้แต่คนเดียว
คนชราจำนวนหนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน
นั่งอยู่บนโซฟานั่งมองประตูทางเข้าด้วยสายตาอันเหม่อลอย หญิงชราคนหนึ่งกำลังก้มตัวลงไปเก็บขนม
ที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาใส่ปาก

เขารู้ว่าแม่ชอบห้องที่สว่างโล่ง จึงเลือกห้องที่แสงพระอาทิตย์สามารถสาดส่องเข้ามาได้ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบไม้กำลังร่วงลงสู่พื้นหญ้าเป็นจำนวนมาก นางพยาบาลหลายคนกำลังเข็นรถเข็นที่มีคนชรานั่งอยู่ออกไปชมพระอาทิตย์ตกดิน รอบตัวเงียบสงัด ทำให้เขาสะท้านวาบในจิตใจ

แม้แสงพระอาทิตย์ยามลับขอบฟ้าจะงดงามสักเพียงใด
นั่นก็หมายความว่าความมืดยามค่ำคืนกำลังจะย่างกราย
เข้ามาแทนที่ เขาถอนหายใจเบาๆ

“แม่ครับ ผม....ต้องไปแล้วนะ” ผู้เป็นแม่ทำได้เพียงแค่พยักหน้า
ตอนที่เขาเดินจากมา แม่ยังคงโบกมือลาด้วยสีหน้าอันเศร้าสร้อย อ้าปากพูดโดยไม่มีเสียงอยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาหันมามอง จึงเห็นผมสีดอกเลาของแม่ เขานึกในใจ “แม่แก่แล้วจริงๆ”
อยู่ๆ ภาพในครั้งอดีตก็ผุดขึ้นในห้วงแห่งความคิด
ปีนั้นเขาอายุได้เพียงแค่6ขวบ แม่มีธุระต้องไปต่างจังหวัด
จึงต้องพาเขาไปฝากไว้ที่บ้านคุณลุง ตอนที่แม่จะออกจากบ้านไป เขารู้สึกกลัวมาก เอาแต่กอดขาแม่ไม่ยอมให้แม่ไป
“แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูไป แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูนะ!”
สุดท้าย แม่ก็ไม่กล้าทิ้งเขาไปต่างจังหวัด
เขารีบก้าวเท้าเดินออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
เมื่อปิดประตูแล้วก็ไม่กล้าหันไปมองแม่อีก

เมื่อกลับถึงบ้าน เขาเห็นภรรยาและแม่ยายกำลัง
เก็บเอาข้าวของของแม่โยนออกมานอกห้อง
ถ้วยรางวัลรูปคนยืนสูงประมาณ3ฟุตที่เขา
ชนะเลิศประกวดเรียงความ “แม่ของฉัน”

พจนานุกรมอังกฤษจีนที่แม่ซื้อให้เขาในวันเกิด
ซึ่งเป็นของขวัญชินแรกที่เขาได้รับจากแม่
ยังมียาหม่องน้ำที่แม่ต้องทาขาก่อนนอนทุกวันฯ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! พวกคุณโยนของๆแม่ผมออกมาทำไม?
” เขาถามออกไปด้วยความโมโหสุดขีด
“ขยะทั้งนั้น ถ้าไม่ทิ้ง แล้วฉันจะเอาของๆฉันวางไว้ตรงไหน?
”แม่ยายพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ใช่แล้ว คุณรีบเอาเตียงเน่าๆของแม่คุณไปทิ้งได้แล้ว
พรุ่งนี้ฉันจะซื้อเตียงใหม่ให้แม่ฉัน!”
รูปเก่าๆสมัยเขายังเด็กกองอยู่กับพื้น
มันเป็นรูปที่แม่พาเขาไปเที่ยวสวนสัตว์และสวนสนุก
“นั่นมันเป็นสมบัติของแม่ผม ใครก็เอาไปทิ้งไม่ได้!”
“มันจะมากเกินไปแล้วนะ มาทำเสียงดังกับแม่ฉันได้ยังไง
ขอโทษแม่ฉันเดี๋ยวนี้!”
“ผมเลือกคุณก็ต้องรักแม่คุณด้วย แต่คุณแต่งงาน
เข้ามาอยู่บ้านผม ทำไมคุณรักแม่ผมไม่ได้?”

ท้องฟ้าอันมืดมิดหลังฝนตก หนาวสะท้านเข้าไปถึงหัวใจ
ท้องถนนที่ว่างเปล่าไร้รถรา บีเอ็มดับบลิวคันหนึ่งพุ่งไปข้างหน้าราวกับอยู่ในสนามแข่ง พร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ของชายคนหนึ่งซึ่งมุ่งไปทางบ้านพักคนชรานอกเมือง

จอดรถเสร็จ เขารีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องพักของแม่
เมื่อเปิดประตูเข้าไป เขายืนมองแม่ด้วยความรู้สึก
ที่ไม่น่าให้อภัยตัวเอง
แม่ของเขาก้มหน้าใช้มือนวดที่ขาของตัวเอง

เมื่อแม่ของเขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตู
ก็เห็นลูกชายของตัวเองยืนอยู่และในมือถือยาหม่องน้ำอยู่
และก็พูดออกมาด้วยเสียงอ่อนโยนว่า
“แม่ลืมเอามาด้วย ดีนะที่ลูกเอามาให้...”
เขาเดินไปหาแม่และคุกเข่าลงไป
“ดึกแล้วลูก แม่ทาเองได้
พรุ่งนี้ลูกต้องไปทำงานแต่เช้า กลับไปเถอะ!”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
“แม่ครับ ผมขอโทษ แม่ยกโทษให้ผมนะ กลับบ้านเราเถอะ!”

************************************

ลูกรัก ตอนที่เจ้ายังเด็ก แม่ใช้เวลาทั้งหมดค่อยๆสอนให้เจ้าใช้ช้อนใช้ตะเกียบคีบอาหาร สอนเจ้าใส่รองเท่า สอนเข้ากลัดกระดุม สอนเจ้าใส่เสื้อผ้า อาบน้ำให้เจ้า เช็ดอุจาระปัสาวะให้เจ้า สิ่งเหล่านี้แม่ไม่เคยลืม

หากวันหนึ่ง แม่จำไม่ได้ หรือเริ่มพูดช้าลง ขอเวลาให้แม่สักหน่อย รอแม่ได้ไหม ให้แม่ได้คิด...บางครั้ง สิ่งที่แม่อยากจะพูดกับเจ้า แม่อาจจะพูดกับเจ้าไม่ได้อีกแล้ว
ลูกรัก ลูกจำได้ไหม แม่ต้องสอนเจ้ากี่ร้อยครั้งให้เจ้าพูดว่าคำว่าแม่ได้!

แม่ดีใจมากแค่ไหนที่เจ้าเริ่มพูดเป็นประโยคได้?
แม่ต้องตอบคำถามของเจ้ากี่ร้อยครั้ง กว่าเจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้าสงสัย!

ดังนั้น หากวันหนึ่ง แม่ถามเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกกับเรื่องเดิมๆ ขอให้เจ้าอย่ารำคาญจะได้ไหม?

ตอนนี้แม่อาจกลัดกระดุมเสื้อไม่ได้ ยามกินข้าวอาจหกเลอะเสื้อผ้า เจ้าอย่าเอ็ดแม่ได้ไหม? ขอให้เจ้าอดทนและอ่อนโยนกับแม่ ขอเพียงเจ้าอยู่ข้างๆแม่ แม่ก็รู้สึกอุ่นใจ

ลูกรัก วันนี้ขาของแม่เริ่มอ่อนแรง ยืนได้ไม่ค่อยนาน เดินเหินลำบาก ขอให้ลูกจับมือและพยุงแม่ไว้ เดินเป็นเพื่อนแม่จนวันที่แม่สิ้นใจ เหมือนวันที่เจ้าคลอดมา แม่ก็พยุงเจ้าเดินอย่างนี้เหมือนกัน !

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า-เหนื่อยก็หยุดพักแต่อย่าเดินกลับหลัง

ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า-เหนื่อยก็หยุดพักแต่อย่าเดินกลับหลัง 


นานๆ ทีฉันนัดกินข้าวกับเพื่อนเก่าทีละหลายๆ คน 
แบบเฮฮาปาร์ตี้ เพื่อนหลายคนชีวิตยังเรื่อยๆ 
บางคนก็สุดโต่งรีบไปเสียไกลเชียว 
(ฉันเป็นประเภทกลางๆ นั่งพักกายพักใจ ไม่ถอยไม่ก้าว) 


เพื่อนฉันบางคนอยู่ในช่วงที่เหนื่อย ท้อ ไม่มีแรง 
เขาบอกฉันว่า "ชีวิตเร่งรีบนักก็ไม่ดี" 


พอมานั่งคิดตามก็เห็นว่า เออก็จริงของมันเหมือนกันนะ 
แต่ถ้ามาคิดลึกๆ แล้ว 
ถ้าเราก้าวช้าก็ไปได้ช้า 
เวลาผ่านไปทุกวัน ไม่เคยคอยใครเลย 


ฉันมักบอกเพื่อนประเภทเรื่อยเฉื่อยเกินไปทั้งหลายว่า 
ไม่ว่าเธอจะเหนื่อยกายเหนื่อยใจสักแค่ไหน 


ถ้าเธอเดินเร็ว 
เวลาที่ล้มที่ลุก มันก็จะมากขึ้น 
โอกาสที่เธอจะยืนได้อย่างแข็งแรงก็มีมากขึ้น 


แต่ถ้าเธอมัวแต่ดินช้า เวลาที่จะล้มจะลุก 
มันก็จะน้อยลง กว่าจะรู้จุดยืน 
เธออาจจะไม่มีแรงเดินแล้วก็ได้ 


ไม่ใช่ว่าฉันเป็นคนไม่เหนื่อยไม่ท้อ 
(แหม ฉันก็คนมีเลือดเนื้อ มีหัวใจ เซ็งโลกเป็นเหมือนกันนั่นแหละ) 
ทุกครั้งที่อยากเดินถอยหลัง ฉันจะนึกถึงตอนที่ฉันก้าวมา 
ฉันเหนื่อยแค่ไหน เหยียบหนามเจ็บตัวกี่ครั้ง 


ถ้าฉันเดินกลับหลัง ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง 
เท่ากับว่าที่ผ่านมาฉันเหนื่อยฟรีสิ 
บุคคลต้นแบบที่ฉันแอบปลื้มคนหนึ่ง 
เขาบอกว่า 


"ชีวิตคนเราต้องก้าวไปข้างหน้า 
ถ้าเมื่อไหร่ที่เราเดินกลับหลัง 
สิ่งนั้นเป็นการวัดอนาคตเราแล้วล่ะ" 


สมัยเป็นนักศึกษาเล็กๆ ฉันมีเพื่อนหลายคน 
ที่เดินออกจากมหาวิทยาลัยอย่างสง่าผ่าเผย 
ด้วยปัญหาที่ฉันมองตอนนี้ว่าเล็กๆ 
แต่ตอนนั้นก็ไม่เล็กสำหรับเด็กวัยขนาดนั้น 


ฉันพยายามรั้ง...เดินมาตั้งครึ่งทางแล้วยังเดินมาได้ 
จะเดินต่ออีกนิดจะเป็นจะตายเชียวเหรอ... 
แต่เขาถอดใจและเดินกลับหลังเสียดื้อๆ 
ทิ้งความหวังความฝันของตัวเองลงกลางทาง 


ตอนนี้ทุกครั้งที่เจอกันเขาบ่นเสียใจ และเสียดาย 
ถ้าย้อนเวลาได้ เขาจะผ่านมันไปอย่างแข็งแรง 


ทุกครั้งที่เหนื่อย ท้อ และทุกข์ 
ฉันบอกกับตัวเอง "แล้วมันจะผ่านไป" 
ยังไงก็ไม่เดินกลับหลัง อย่างดีก็แค่อยู่เฉยๆ 


พักกายพักใจ พอมีแรงแล้วเดินต่อ 
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น... 
ขอให้เธอผ่านมันไปอย่างแข็งแรง 


ค่อยๆ เดินค่อยๆ ขยับ 
เผลอแป๊บเดียว พอหันกลับไปดู แล้วจะตกใจว่า... 
โห...เราเดินมาได้ไกลขนาดนี้แล้วหรือนี่...
 

"บทเรียนชีวิตที่ดีที่สุด

การที่เราจะมีความสุขในชีวิตหรือไม่นั้น
สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่จิตใจ และความคิดของตนเอง

หากคิดแต่เรื่องดีๆ
ชีวิตก็มีความสุขและมีความทุกข์อย่างเข้าใจ

ถ้าหากกำลังมีทุกข์
ขออย่าคิดว่าทุกข์ของตนเองมากมายกว่าผู้อื่น

ให้เพียรพยายามคิดว่าผู้อื่นก็มีทุกข์ไม่น้อยไปกว่า
หรืออาจจะหนักหนาสาหัสกว่าเสียอีก

หากนำความทุกข์ไปเปรียบกับผู้ที่แย่กว่า
จะช่วยให้มีกำลังใจเพิ่มขึ้น
และรู้สึกว่ายังโชคดีกว่าอีกหลายๆ คน

ดังเช่นที่นักปราชญ์เคยกล่าวเอาไว้ว่า

"ในขณะที่ท่านกำลังร้องห่มร้องไห้เพราะไม่มีรองเท้าใส่
ท่านควรคิดถึงคนที่เขาไม่มีแม้กระทั่งเท้า

หรือหากท่านเสียใจที่ไม่มีเท้า
แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่มีทั้งเท้าและทั้งแขน"


หรือหากทำงานและธุรกิจล้มเหลวก็ขอให้คิดว่า
ความผิดพลาดและล้มเหลว
คือบทเรียนเริ่มต้นของความสำเร็จ

เหมือนคำกล่าวที่ว่า 

"บทเรียนชีวิตที่ดีที่สุด
ล้วนได้มาจากความผิดพลาดล้มเหลวของตนเอง
ความโง่เขลาเบาปัญญาและความผิดพลาดในอดีต
จะกลายเป็นสติปัญญา และความสำเร็จในอนาคต

เหนื่อย ล้าท้อ ขออย่าสิ้นหวัง
ภาระที่ดูเหมือนหนัก-เหนื่อย
หากคำนึงถึงคุณค่าที่ได้ทำ
กำลังใจย่อมเต็มเปี่ยม
แม้กายล้า ยังสู้ไม่ถอย

ที่ใครว่าทุกข์… เราไม่ทุกข์
ที่ใครเห็นว่าท้อ… เราไม่ถอยถอนใจ

กำลังใจสู้ไม่ถอย
ล้วนได้มาจากมุมมองของใจ(ทัศนคติ)ทั้งสิ้น

มีโอกาสทำดี อย่าให้เสียโอกาส
มีโอกาสเรียน ทำให้เต็มที่
และทำให้ดีในทุกโอกาส

บางคนรอโอกาสมาทั้งชีวิต
แต่ก็ไม่มีโอกาสเช่นเรา ๆ ท่าน ๆ
ประโยชน์อะไรที่จะล้า

มองชีวิต มองทุกข์อย่างเข้าใจ
กำลังใจก็หาได้ไม่ยากหรอก….
…จริงไหม… 

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Ladatipamon: คงไม่มีความสุขใดของลูกผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว จะยิ่ง...

Ladatipamon: คงไม่มีความสุขใดของลูกผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว จะยิ่ง...: คงไม่มีความสุขใดของลูกผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว จะยิ่งใหญ่ไปกว่า .. -  การได้เป็นที่รักของสามี .. -  การได้เป็นผู้ดูแลความเป็นไปในครอบครัว  (...
คงไม่มีความสุขใดของลูกผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว จะยิ่งใหญ่ไปกว่า..

การได้เป็นที่รักของสามี..
การได้เป็นผู้ดูแลความเป็นไปในครอบครัว (กุมความเป็นใหญ่ทุกอย่าง)
การได้เป็นมารดา
การได้ลูกเป็นคนดี

และคงไม่มีความทุกข์อันใดของผู้หญิง จะหนักเท่ากับ..

ทุกข์เพราะสามีไปรักผู้หญิงอื่น
ทุกข์เพราะไม่มีสิทธิ์ดูแลความเป็นใหญ่ในครอบครัว
ทุกข์เพราะแต่งงานแล้วไม่มีลูกไว้ให้ชื่นชม
ทุกข์เพราะได้ลูกเป็นคนไม่ดี

สองข้อหลัง ถือว่าเป็นความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ของผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว การมีลูกนั้นเป็นข้อพิสูจน์ว่าเธอเป็นหญิงมีความสมบูรณ์ แต่ถ้าแต่งงานแล้วไม่มีลูก เธอก็กังวลใจหนัก ไม่รู้ว่าตัวเธอมีความบกพร่องอะไร อย่างไร หรือเปล่า..

และถ้ามีลูกแล้วลูกเป็นคนไม่ดี ผู้เป็นแม่จะเป็นทุกข์หนักกว่าการไม่มีลูกอีกหลายเท่า เพราะมันเป็นเครื่องแสดงว่า

 “ ผู้หญิงอย่างเธอ เป็นได้แค่แม่ผู้ให้เกิดเท่านั้น แต่ไม่มีปัญญาสอนลูกให้เป็นคนดีได้ ”

การมีลูกจึงถือว่าเป็นความโชคดีของผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ยิ่งถ้าได้ลูกแล้วลูกเป็นคนดี ก็ยิ่งนับว่าเป็นความโชคดีและเป็นความสุขของหญิงผู้เป็นแม่มาก จนยากจะหาความสุขใดมาเปรียบปานได้ แต่จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่เป็นสุขอยู่ในความโชคดีดังที่ว่ามา...มีแม่จำนวนไม่น้อยที่มักจะเป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า

“ เสียงหัวเราะมักจะมาพร้อมกับหยาดน้ำตา ความโชคร้ายมักแฝงกายมากับความโชคดี 

นั่นคือ เธอโชคดี มีรอยยิ้มและเป็นสุขในเบื้องต้นของความเป็นแม่ แต่ก็ต้องมีเสียงร้องไห้ มีหยาดน้ำตา และมีความทุกข์ระทมเป็นบำเหน็จบำนาญในบั้นปลายกับความเลวร้ายในนิสัยลูก..

เสียใจเพราะลูกรักมาตายจาก ยังเหลือซากความดี (ถ้าลูกเป็นคนดีของเขาเอาไว้ให้สุขใจอยู่บ้าง แต่ที่เสียใจเพราะลูกเป็นคนไม่ดีนี่สิ มันเป็นความสุดระทมของแม่จนยากจะถ่ายถอน ทั้งไม่รู้จะไปเรียกร้องขอความเห็นใจจากใครได้ เพราะแม่เลี้ยงลูกมาเอง ร้องไปก็จะมีแต่คนสมน้ำหน้าเพราะ..

อันธรรมดาสุนัขดุนั้น คนเขาย่อมจะโทษเจ้าของที่เลี้ยง

จึงถือว่าความเลวของลูก เป็นความทุกข์สุดระทมของพ่อแม่ และมีวิบากกรรมและความอับอายไว้ให้เก็บเกี่ยวด้วย เรียกว่าทั้งทุกข์ทั้งอายตลอดไป จนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่งโน่นแหละ มันเป็นความทุกข์ที่เกินขีดจำกัดจริงๆ

ถ้าดิฉันรู้ว่ามันเลวอย่างนี้นะหลวงพ่อ ดิฉันเอาขี้เถ้ายัดปากให้มันตายตั้งแต่วันที่มันเกิดมาแล้ว ไม่ปล่อยไว้ให้มันเป็นลูกตุ้มถ่วงใจให้หนักจนถึงทุกวันนี้หรอก” ผู้หญิงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของลูกไม่รักดีคนหนึ่ง ปรับทุกข์กับหลวงพ่อ

บอกสอนอะไรมันไม่ได้เลย เถียงทุกคำ ไม่พอใจขึ้นมาหน่อยก็ปาข้าวปาของ ไม่รู้ว่าลูกผีที่ไหนมาเกิด” บ่นไปกัดฟันไป ก็คงช้ำใจกับลูกจริงๆนั่นแหละ

ดิฉันยังเคยคิดนะคะ ว่าบางทีจะยุให้มันโมโหจนต้องลงไม้ลงมือกับดิฉันดีหรือเปล่า แล้วจะได้แจ้งตำรวจจับมันไปขังคุกให้เข็ดหลาบ” เธอบอกมาตรการสุดท้ายที่จะนำไปปราบลูกชายตนเอง

เขาไม่เข็ดหรอกโยม มีแต่จะไปเพิ่มนิสัยอันธพาลให้กับเขามากขึ้นเท่านั้น ในคุกในตะรางโยมนึกหรือว่ามันจะมีคนดีให้เอาอย่าง แค่คดีทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับต้องติดคุกให้หัวโตหรอก ไม่นานก็พ้นโทษ เมื่อออกมาแล้วก็กลับมาเป็นลูกของโยมเหมือนเก่า

ของที่มันตกลงพื้น มีความสกปรกเพียงนิดหน่อย ถ้าเราต้องการเก็บของนั้นเอาไว้อีก ก็ควรเอาไปล้างทำความสะอาดเสีย จะเอาไปโยนทิ้งในหลุมส้วมแล้วมันจะสะอาดขึ้นมาได้อย่างไร” หลวงพ่อพูดให้กำลังใจแก่เธอ

ดิฉันหมดปัญญาจะสอนมันแล้วค่ะหลวงพ่อ” เธอทอดถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย

พาเขามาวัด อาตมาจะช่วยพูดให้

มันคงไม่มาหรอกค่ะ เพราะมันคงรู้แล้วว่าดิฉันมาเล่าเรื่องราวของมันให้หลวงพ่อฟังจนหมด

ก็จะไปบอกทำไมเล่าว่าจะชวนมาวัด หัดใช้อุบายกับลูกเป็นบ้าง ให้เขาพาไปธุระที่ไหนก็ได้ที่ต้องผ่านวัด เมื่อทำธุระเสร็จก็ขอร้องว่า ไหนๆก็ผ่านวัดแล้ว ช่วยพาแม่ไปกราบหลวงพ่อหน่อย นานแล้วไม่ได้กราบท่าน คิดถึงหรืออะไรก็ว่าไป เมื่อมาถึงแล้วโยมอยู่คุยกับอาตมาสักสองสามคำ แล้วขอตัวเข้าห้องน้ำหรือไปหาซื้อหนังสือธรรมะด้านหน้าก็ไป ทิ้งเขาไว้กับอาตมา ถ้าแม่อยู่ด้วยเขาก็คงไม่ฟังในสิ่งที่สอน

แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่กลัวว่าลูกจะไม่ฟังในสิ่งที่พระท่านสอนหรอก แต่กลัวแม่ต่างหากที่ไม่เปิดโอกาสให้ลูกฟัง คอยแต่จะพูดแทรกคำอยู่ตลอด พระก็เลยสอนเด็กได้ไม่เต็มที่ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่หลวงพ่อขอร้องพ่อ แม่ ว่าขอสอนลูกเพียงลำพัง

ผ่านไปสองอาทิตย์.. แม่คนนั้นพาลูกชายเดินมากราบท่าน ท่าทางของลูกอิดออดเดินหน้าคว่ำเข้ามา แสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ก้มลงกราบหลวงพ่อตามคำบอกของแม่อย่างเสียไม่ได้

ผู้เป็นแม่คุยกับหลวงพ่อสองสามคำ แล้วขอตัวไปห้องน้ำตามที่ตกลงกันไว้..

ในกุฏิหลวงพ่อ มีหมาอยู่ตัวหนึ่ง ตัวโต สีน้ำตาล ขนเกรียน ชื่อว่า “ไอ้โทน” ท่านเลี้ยงมันมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ หลวงพ่อลุกขึ้นเดินไปหาไอ้โทนที่นอนห่างจากท่านไม่มากนัก เงื้อมือทำท่าจะตีมัน...
ไอ้โทน ซึ่งมันไม่เคยถูกหลวงพ่อตีเลย เคยแค่หยอกเล่นๆ เท่านั้น เมื่อเห็นท่านเงื้อมือ มันก็รีบนอนหงายท้องขึ้น เอาขาหน้าทั้งสองคู้เข้าหากัน กอดอก คล้ายๆกับจะบอกว่า ท่านจะเลือกตีโทนตรงไหนก็นิมนต์ได้ตามสบาย โทนไม่โต้ตอบหรอกครับ” อย่างนั้น

ท่านหลวงพ่อจึงพูดกับมันขึ้นว่า เฮ้อ ไอ้โทน เอ็งนี่กตัญญูรู้คุณคนจริงๆ รู้จักเก็บแข้งเก็บขาเวลาถูกอบรมนิสัย ไม่คิดจะตอบโต้คนที่เลี้ยงดูมา เหมือนลูกของคนบางคน” เอ่ยพอแค่นี้ ท่านหลวงพ่อก็หยุดชำเลืองตามามองลูกคนบางคนที่อยู่ในวงรัศมีพอที่จะได้ยินเสียงของท่าน และมองเห็นภาพเหตุการณ์นั้นได้

ลูกของคนบางคนที่ว่านั้น กำลังจ้องไอ้โทนด้วยสายตาเขม็ง
ท่านหลวงพ่อจึงอบรมไอ้โทนกระทบใส่ลูกคนบางคนต่อไปอีกว่า ลูกของคนบางคน แม่เลี้ยงมาจนโต นอกจากไม่รู้บุญคุณแล้ว ยังคิดทำร้ายผู้มีพระคุณอีกด้วย มันน่าละอายแทนเขาจริงๆ” พอพูดจบท่านก็เดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมของท่าน แล้วหันมาถามลูกของคนบางคนนั้นขึ้นว่า...

แล้วเธอล่ะพ่อหนุ่ม เคยทะเลาะกับแม่บ้างหรือเปล่า
คะ เคยครับหลวงพ่อ เขาพูดไม่เต็มเสียงนัก ก็คงจะเขินอายไอ้โทนตามที่ท่านหลวงพ่อได้พูดเอาไว้ตะกี้นี้แหละ ครั้นจะโกหกว่า ไม่เคย ก็คงจะรู้สึกไม่ดี

ก็ยังถือว่าเขายังมีความละอายใจต่อบาปอยู่บ้างที่ไม่กล้าโกหกพระ คนเราถ้าไม่หยาบเกินวิสัยจริงๆแล้ว ก็ยังพอมีทางที่จะสอนให้เขาใฝ่ดีได้ ที่สอนยากๆจนขั้นที่เรียกว่า ปทปรมะ” นั้น ก็มีแต่คนที่พอกพูนความหยาบกระด้างลงในจิตใจเป็นอาจิณเท่านั้น

พ่อหนุ่ม หลวงพ่อจะเล่าอะไรให้ฟังนะ ท่านหลวงพ่อเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน เมื่อมองเห็นอุปนิสัยโดยทั่วไปของเขา ว่าไม่ใช่คนอันธพาลจนจะเอาดีไม่ได้ เพียงแต่อาจจะด้อยความสำนึกผิดชอบชั่วดีอยู่บ้างเท่านั้น ซึ่งหากขัดเกลาเสียหน่อย แววแห่งความรักดีของเขาคงจะปรากฏ...

ตอนที่เราเด็กๆ เรายังพูดไม่ได้ ประโยคแรกที่พ่อแม่จะสอนให้เราพูดก็คือคำว่า พ่อ แม่ พยายามสอนให้เราพูดคำเดิมๆ ซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนี้ ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายที่จะสอน แค่พอเราออกเสียง ป้อ แอ้ ป้อ แอ้ แค่นั้น เขาก็ดีใจมากแล้ว เที่ยวอวดใครต่อใครว่าลูกของฉันเรียกพ่อเรียกแม่ได้แล้ว..”

มือน้อยๆทั้งสองของเรา ยังจับฉวยอะไรไม่ได้ สิ่งแรกที่พ่อแม่สอนให้ทำ ก็คือให้เราประนมมือไหว้ หวัดดีซีลูก

เท้าน้อยๆของเรา พ่อแม่ก็ไม่รังเกียจที่จะจูบดม” ท่านพูดพลางจ้องหน้าเขาอย่างไม่ลดละ ทำให้ผู้นั่งฟังต้องก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นสบสายตาท่าน คงจะนึกละอาย หรือไม่คงรู้สึกสำนึกขึ้นมาบ้างแล้ว

แต่พอเติบโตขึ้นมา” หลวงพ่อพูดต่อ “มีลูกจำนวนไม่น้อยที่ใช้ปาก ที่พ่อแม่เคยสอนให้เรียกพ่อแม่นั้น มาด่าทอให้พ่อแม่ให้เจ็บช้ำน้ำใจ

เอามือที่พ่อแม่เคยสอนให้ หวัดดีซิลูกนั้น มาชี้หน้าพ่อ ชี้หน้าแม่ ตบตีทำร้ายพ่อแม่ก็มี เท้าที่พ่อแม่เคยจูบ เคยดมนั่น ก็มาเดินกระทืบพื้น เตะข้าวเตะของประชดพ่อประชดแม่ ลูกๆจะคิดกันหรือเปล่า ว่านั่นมันเป็นบาปหนักแค่ไหน

คนอื่นจะด่าว่าตบตีอย่างไรพ่อกับแม่เขาทนรับไหว แต่ที่หนักหนาสุดเหลือกำลังจะทนได้นั้น ก็คือคำด่าว่าและอากัปกิริยาดื้อรั้นของลูกๆ พ่อแม่ต้องเจ็บช้ำระกำใจ ซ้ำยังอับอายขายขี้หน้าชาวบ้านไปจนตาย หากลูกแสดงความไม่เคารพนับถือพ่อแม่ ด่าว่า ทำร้ายพ่อแม่ ความเลวของลูก มันคือนรกในใจของพ่อแม่..”

ที่พ่อแม่ต้องด่าต้องอบรมสั่งสอนนั้น ก็เพราะว่าเขารักเรา ไม่อยากเห็นลูกถูกประณามว่าเป็นคนไม่ดี ทั้งพ่อแม่ก็ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของลูกทุกอย่าง ในฐานะที่เป็นผู้ให้กำเนิดก่อเกิดเรามา ลูกทำตัวแย่ พ่อแม่ก็ถูกสังคมประณามหยามหมิ่นว่าไม่รู้จักอบรมสั่งสอนลูก

ถ้าเขาไม่รักเรา เขาก็คงไม่เตือนเราหรอก เอาเวลาไปหาอย่างอื่นทำจะดีกว่า ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมารำคาญหรือเบื่อหน่ายแต่นี่เพราะไม่อยากเห็นลูกถูกสังคมรังเกียจเอา พ่อแม่จึงได้ยอมตักเตือนว่ากล่าว หรือบางทีก็ต้องลงโทษลูกบ้าง ซึ่งมันไม่ต่างอะไรกับลงโทษหัวใจของพ่อแม่เอง

ก็น่าเห็นใจผู้ที่เป็นพ่อแม่อยู่เหมือนกัน มีลูกแล้วหวังจะได้ชื่นชมความดีของลูก แต่ก็ต้องมาตรอมใจกับความไม่ดีของลูกเสียแทน บ่นว่าเข้าหน่อยลูกก็พาลมาโกรธมาเกลียดเอา ครั้นไม่บ่นไม่ด่าไม่ว่ากล่าวตักเตือนบ้างเลย สังคมก็จะประนามเอาได้ว่า มีปัญญาหาแต่ข้าวให้ลูกกิน แต่ไม่มีสมองจะสั่งสอนลูก หัวใจของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ จึงจำต้องกรำทุกข์ทั้งขึ้นทั้งล่อง

เช้าในวันอาทิตย์ต่อมา หลังจากทำบุญตักบาตรเสร็จเรียบร้อย....
แม้เขาจะไม่ดีเลยทีเดียว แต่ก็ดีขึ้นกว่าเก่าหน่อย รู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเองมากขึ้น เวลาที่ถูกแม่กล่าวตักเตือน ก็ไม่ค่อยจะแสดงอาการหงุดหงิดฉุนเฉียวแสดงความรำคาญอย่างก่อนๆ ถึงจะไม่พอใจอยู่บ้างที่ถูกแม่อบรมบ่อยๆ แต่ก็เก็บปากเก็บเสียง ไม่โต้เถียงทันทีเหมือนที่แล้วมา ก็คงนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อได้กระมังคะ

ผู้เป็นแม่รายงานผลให้ท่านหลวงพ่อได้ทราบ ด้วยความภูมิใจในลูกชายคนเก่าที่เปลี่ยนนิสัยใหม่ ใบหน้าของเธอยิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับถูกรางวัลแจ๊คพ็อตยังไงยังงั้น...

แค่เห็นลูกเป็นคนดี ใจของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ก็สุขเป็นล้นพ้นแล้ว แม้ไม่มีทรัพย์สินมากมายจะให้พ่อแม่ปลื้มได้ แต่ทรัพย์ที่ยอดเยี่ยมงดงามและมีค่าที่สุดก็คือ ความดีในตัวของลูกนั่นเอง ลูกจึงถือได้ว่าเป็นทั้งความสุขและความทุกข์ เป็นทั้งนรกและสวรรค์ สำหรับพ่อแม่อย่างแท้จริง

เมื่อฟังจบ ท่านหลวงพ่อก็ได้แนะนำแม่คนนั้นไปว่า ถ้าจะให้ดีกว่านี้ แม่ควรพาลูกมาทำบุญ ฟังธรรมที่วัดบ่อยๆด้วย เพื่อให้ธรรมะเข้าไปกล่อมเกลาจิตใจของเขาให้อ่อนโยน เมื่อสภาพจิตใจของเขาอ่อนโยนแล้ว ก็จะสามารถปลูกฝังคุณธรรมต่างๆลงไปได้โดยง่าย

แต่ถ้าพื้นเพจิตใจของเขาหยาบกระด้างเสียแล้ว ปลูกความดีอะไรลงไป มันก็ตายหมด เมื่อไม่มีคุณธรรมหล่อเลี้ยงจิตใจ ร่างกายของลูก ก็ไม่ต่างอะไรกับสุสาน เป็นที่บรรจุซากศพอันเน่าเหม็น คือพฤติกรรมเสียๆของเขาเอง....
…………
เรื่อง "นรกของแม่"...โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
ขออนุญาตเผยแพร่เป็นธรรมทาน

Ladatipamon: รักของแม่

Ladatipamon: รักของแม่: ไม่มีแม่คนใดมีสุข  ถ้ารู้ข่าวว่าลูกมีทุกข์  แต่มีหลาย ๆ ลูกมีความสุข ลืมคิดถึงความทุกข์ของพ่อแม่ ฯ  รักของแม่ รักใดเล่าจะแน่เท่าแม...

รักของแม่

ไม่มีแม่คนใดมีสุข  ถ้ารู้ข่าวว่าลูกมีทุกข์ 
แต่มีหลาย ๆ ลูกมีความสุข ลืมคิดถึงความทุกข์ของพ่อแม่ ฯ
 รักของแม่
รักใดเล่าจะแน่เท่าแม่รัก                 ผูกสมัครรักมั่นไม่หวั่นไหว
ห่วงใดเล่าเท่าห่วงแห่งดวงใจ          ที่แม่ให้กับลูกอยู่ทุกครา
ยามลูกขื่นแม่ขมตรมหลายเท่า         ยามลูกเศร้าแม่โศกวิโยคกว่า
ยามลูกหายแม่ห่วงคอยดวงตา                  ยามลูกมาแม่ลดหมดห่วงใย ฯ
รักของใครไม่เท่าศักดิ์รักของแม่       รักแน่แท้แม่รักอยู่ไม่รู้สร่าง
ศัตรูร้ายก็ไม่กรายมากั้นกาง            ถึงรักนางรักนายก็ไม่เกิน
แม้รักยศรักศักดิ์อัครฐาน                 รักการงานสารพันรักสรรเสริญ
รักสนุกทุกสถานสำราญเทอญ          รักไม่เกินรักของแม่รักแท้เอย ฯ
แม่ตื่นก่อนนอนทีหลังระวังลูก จิตท่านผูกเพียรระวังตั้งรักษา
ยุงจะกินริ้นจะกัดก็พัดพา       บางเวลาแม่ไม่หลับระงับเลย ฯ
เมื่อลูกใหญ่วัยถ้วนควรศึกษา    แม่ก็พาลูกรักไปฝากให้
จะเสียทุนหนุนค่าวิชาไป           ถ้ามีให้แล้วไมขัดเป็นสัจจริง
ถึงไม่มีบางทีก็กู้เขา                จะหนักเบายอมลูกไปทุกสิ่ง
สู้ตรากตรำทำงานกันจริง  ๆ      เพื่อแลกสิ่งทรัพย์ได้มาให้เรา
เมื่อลูกเสร็จการศึกษาวิชาเชี่ยว  แม่คนเดียวดีใจใครจะเท่า
เมื่อลูกหาทรัพย์ได้ใจท่านเบา    เพราะท่านเฝ้าปลูกฝังหวังให้ดี ฯ

ไม่มีความรักใดจะยิ่งใหญ่เท่ากับความรักของแม่ ฯ
แม่รักลูกปลูกฝังทางศึกษา       อีกจรรยาแม่อบรมบ่มนิสัย
แม่รักลูกปกป้องคุ้มผองภัย      ลูกรักแม่ก็จงได้กตัญญู ฯ
มีเพื่อนอื่นหมื่นแสนไม่แม้นแม่           เป็นเพื่อนแท้แม่เกล้าเฝ้าอุปถัมภ์
เป็นทั้งแม่ เพื่อน ครู อยู่ประจำ            ทุกเช้าค่ำรักห่วงดังดวงใจ
ให้กำเนิดเกิดกายสายโลหิต     แม่ไม่คิดหน่ายรักพลิกผลักใส
เป็นแม่พระแม่เรือนแม่เพื่อนใจ           แม่เหมือนนัยธรรมคุตสุดบูชา ฯ
มารดาเป็นมิตรในเรือน
แม่ เป็นครูผู้สอนแต่ตอนต้น             แม่เป็นคนอุดมพรหมวิหาร
แม่มีเมตตา  กรุณา มุทิตาการ          แม่มีญานอุเบกขาเป็นอารมณ์
แม่เหมือนพระอรหันต์อันสูงสุด         แม่หวังบุตรธิดาอย่าขื่นขม
แม่กับลูกผูกมิตรจิตชื่นชม              แม่จึงสมสุภาษิตมิตรในเรือน ฯ
อันมวลมิตรอื่นใดหาไม่ยาก            หาลำบากยิ่งแท้แม่มาตรฐาน
ผู้เป็นพรหมเป็นพระบุรพาจารย์         ควรแก่การเทิดไว้ไหว้บูชา
หมดอื่นหมื่นหมดไปหาใหม่แก้        หากหมดแม่แล้วไม่มีที่จักหา
เป็นทั้งมิตรแม่ประเสริฐแต่เกิดมา      ร่วมชายคาเรือนตนแม่คนเดียว ฯ
วันเกิดลูกเกือบคล้ายวันตายแม่        แม่เจ็บท้องแท้เท่าไรมิได้บ่น
การอุ้มท้องกว่าจะคลอดรอดเป็นคน  เติบโตจนบัดนี้นี่เพราะใคร
แม่เจ็บจนเจียนขาดใจในวันนั้น         กลับเป็นวันลูกฉลองกันผ่องใส
ได้ชีวิตแล้วก็หลงระเริงใจ               ลืมผู้ให้ชีวิตอนิจจา ฯ

ไม่มีแม่คนใดมีสุข  ถ้ารู้ข่าวว่าลูกมีทุกข์ 
แต่มีหลาย ๆ ลูกมีความสุข ลืมคิดถึงความทุกข์ของพ่อแม่ ฯ

แม่สละสวยสละสาวคราวอุ้มท้อง      แม่ไม่ร้องแม่ไม่บ่นแม่ทนได้
แม่เฝ้าถนอมจนครรภ์แก่แม่เต็มใจ     จะหาใครเหมือนแม่แพ้ทุกคน
ครบเก้าเดือนเคลื่อนคลอดรอดชีวิต    แม่ใกล้ชิดลูกน้อยคอยฝึกฝน
แม่ลำบากอย่างไรใจแม่ทน              สายเลือดข้นเต้าแม่กลั่นปันลูกกิน
แม่ป้องริ้นป้องไรมิให้ผ่าน                แม่สงสารห่วงลูกยากว่าทรัพย์สิน
แม่เห่กล่อมยามนิทราเป็นอาจิณ       แม่ไม่ผินแม่ไม่ผันทุกวันมา
ยามลูกสุขแม่สุขสมอารมณ์ชื่น                   ยามลูกขื่นแม่ขมระทมกว่า
ยามลูกไข้แม่อดนอนร้อนอุรา           ยามลูกยาอับโชคแม่โศกใจ
คราลูกหิวแม่หิวกว่าน้ำตาร่วง           แม่เป็นห่วงดิ้นรนหาเอามาให้
แม้แม่อดหมดข้าวปลาไม่ว่าไร                   แม่สละได้ลูกอิ่มแปล้แม่ทนเอา
ใครไหนเล่าเฝ้าอบรมบ่มนิสัย           แม้เติบใหญ่ไม่ท้อถอยคอยนั่งเฝ้า
พระคุณเลิศลูกโศกช่วยบรรเทา         ใครไหนเล่ารักมั่นแท้แม่ฉันเอง ฯ

ดวงใจแม่สะอาดแท้กว่าทุกสิ่ง                   ดวงใจแม่สะอาดยิ่งกว่าสิ่งไหน
ดวงใจแม่สะอาดเกินกว่าสิ่งใด                   ดวงใจแม่มีไว้เพื่อลูกตน ฯ
โย  มาตรํ  ปิตรํ  วา                       มจฺโจ  ธมฺเมน  โมทติ
อิเธว  นํ  ปสํสนฺติ                          เปจฺจ   สคฺเค  ปโมทตีติ
บุคคลใดเลี้ยงดูมารดาบิดาโดยธรรม  นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญ
บุคคลนั้นในโลกนี้  เขาละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์ ฯ
๐ แม่คือโคมทองสว่างไสว
แม่คือผู้สร้างทางเดินเจริญไกล             แม่คืออุ่นใจผ้าห่มต้านลมแรง
แม่คือร่มไทรไพศาลกันแดดฝน            แม่คือสายชลเลี้ยงใจไม่เหือดแห้ง
แม่คือมิตรแท้ในเรือนใจไม่เปลี่ยนแปลง  แม่คือกำแพงปกป้องผองพาลภัย
แม่คืออาจารย์คนแรกแจกความรู้          แม่คือผู้ปลอบอารมณ์คราตรมไหม้
แม่คือผู้ปลอบอารมณ์คราตรมใจ           แม่คือคนใช้ติดตามประจำนาย
แม่คือบันใดก้าวเดินเผชิญโลก              แม่คือผู้โลกธงชัยเชียร์ให้ผ่าน
แม่คือนักร้องกล่อมทรวงชื่นดวงมาลย์    แม่คือสะพานเนียวแน่นเชื่อมแผ่นดิน
แม่คือผู้คลายความเศร้าของลูกแน่        แม่คือผู้รักแท้ที่สุขใจไม่สร่างสิ้น
แม่คือธนาคารคอยจ่ายให้เป็นอาจิณ      แม่คือพรหมินทร์สูงส่งดำรงธรรม
แม่คือผู้ตายแทนลูกได้อยู่ทุกเมื่อ         แม่คือก้อนเนื้อนมสดรสหวานฉ่ำ
แม่คือรถเรือจูงผู้มุ่งนำ                       แม่คือพระอรหันต์อันเลิศล้ำประจำใจ ฯ
ลูกขอกราบเคารพนบแทบเท้า                   ด้วยความเศร้าโศกใจจนแทบสิ้น
จิตเลื่อนลอยสะท้อนหาน้ำตาริน       เฝ้าถวิลสุดซึ้งถึงพระคุณ
ทั้งสองเต้าเฝ้าอาวรณ์คอยป้อนลูก    ความรรัพันผูกแนบแน่นแสนอบอุ่น
ยอมทนทุกข์ทรมาณด้วยการุณ         โอ้เป็นบุญลูกแท้มีแม่ดี ฯ
สุริยาถึงคราก็ลาลิบ                       ผกาทิพย์ยังพรากจากสวรรค์
รักของแม่แท้ประจักษ์หลักสำคัญ     ไม่มีวันสร่างซาร้างลาไกล ฯ
พระคุณท่านนั้นประมาณไม่สิ้นสุด      แม้สมมติแผ่นดินสิ้นแห่งหน
เป็นหมึกน้ำตำละลายในสายชล        ให้ทั่วแห่งหนมหาสมุทรสุดนที
แล้วเอาเขาพระสุเมรุที่เด่นหล้า         เป็นปากกาจุ่มหมึกบันทึกที่
เอาท้องฟ้าเป็นกระดาษวาดคดี    แล้วประกาศบุญคุณมีของมารดา
เขียนจนสิ้นดินฟ้ามหาสมุทร       เขียนจนสุดพระสุเมรุที่เด่นหล้า
ก็ไม่สิ้นสุดบุญคคุณมากดา        จึงนับว่าใหญ่ยิ่งกว่าสิ่งใด ฯ

ครบกำหนดวาระปฏิสนธิ์       เจ็บปวดล้นโศกาน้ำตาหลั่ง
ทั้งหนาวร้อนด่าวดิ้นสิ้นพลัง   ดวงชีวังแทบวายตายทั้งเป็น
พ้นวิกฤติชีวิตอยู่คู่เรือนร่าง    ทุกสิ่งอย่างไม่เหมือนเก่าเท่าที่เห็น
วีรกรรมน่าทึ่งหนึ่งประเด็น      ตั้งแต่เช้าจรดเย็นทุกข์ทรมาน ฯ